เมื่อพูดถึง “ถั่วลูกไก่” เชื่อว่าคงมีหลายคนไม่คุ้นหู ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน พร้อมเกิดความสงสัยว่านี่คือถั่วประเภทใด แล้วจะมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร แน่นอนว่าการศึกษาข้อมูลทำความรู้จักอย่างละเอียดย่อมช่วยให้เกิดความเข้าใจ และสามารถเลือกรับประทานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงไม่อาจมองข้ามข้อมูลอันดี ๆ ที่หยิบมาฝากกันไปได้เลย
ทำความรู้จัก “ถั่วลูกไก่” คืออะไร?
ถั่วลูกไก่ หรือ ถั่วชิกพี เป็นพืชที่มีชื่อทางวิทยาศามาตร์ว่า Cicer Arietinum เป็นที่รู้จักกันดีในแถมเมดิเตอร์เรเนียน เพราะชาวตะวันออกกลาง และอินเดียส่วนใหญ่มักจะนำถั่วชนิดนี้มาทำอาหารรับประทานกันเป็นประจำ ทั้งยังมีการปลูกมาอย่างยาวนานกว่า 7,500 ปีแล้วด้วย ซึ่งคนไทยเรานั้นรู้จักถั่วดังกล่าวเพราะมีรูปร่างคล้ายลูกไก่ตัวเล็ก ๆ มีหงอนแหลมที่ด้านบนของเมล็ด หรือลักษณะคล้ายหยดน้ำขนาดใหญ่จึงเรียกชื่อนี้ต่อ ๆ กันมา ปกติแล้วมีด้วยกัน 2 สายพันธุ์ คือ
- สายพันธุ์ลูกไก่เดซี ที่จะมีสีม่วง เมล็ดขนาดเล็ก เปลือกมีสีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาลเข้ม ผิวขรุขระ ในประเทศอินเดียมักนิยมปลูก
- สายพันธุ์ชิกพีกาบูลี เป็นถั่วที่มีเมล็ดใหญ่กว่าพันธุ์ลูกไก่เดซี่ เมล็ดจะออกสีครีม หรือขาวนวล มีเปลือกหุ้มเมล็ดไว้แบบเรียบสีครีม โดยมักนิยมปลูกในแถมยุโรป
ถั่วลูกไก่ ประโยชน์ดี ๆ ที่มีต่อร่างกายของทุกคน
ต้องบอกว่าเลยถั่วลูกไก่ ประโยชน์มีหลากหลายมาก พร้อมช่วยป้องกันโรคบางชนิดได้เป็นอย่างดี จึงทำให้เกิดการวิจัยค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นขึ้น เพื่อบ่งบอกถึงสรรพคุณที่มีในด้านต่าง ๆ ได้แก่
1. ช่วยเสริมสร้างสุขภาพทางเดินอาหารให้ดีขึ้น
ด้วยความที่ถั่วลูกไก่นั้นมีไฟเบอร์สูง จึงเป็นผลดีต่อลำไส้ โดยเฉพาะระบบย่อยอาหารที่ส่วนใหญ่นั้นไฟเบอร์ที่พบจะเป็นแบบละลายน้ำได้ ช่วยเพิ่มระยะการดูดซึมอาหารภายในลำไส้ของคนเราได้เยอะขึ้น มากไปกว่านั้นลำไส้ขก็จะมีความสามารถในการดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ได้เยอะตามไปด้วย ซึ่งที่ผ่านมามีงานวิจัยพูดถึงการรับประทานถั่วชนิดนี้ พบว่าลำไส้มีการเคลื่อนไหวมากขึ้น อุจจาระมีลักษณะอ่อนตัวมากกกว่าคนที่ไม่ได้รับประทาน มั่นใจได้ว่าจะช่วยส่งเสริมการทำงานของลำไส้ได้เป็นอย่างดี
2. ช่วยป้องกันโรคเรื้อรังบางชนิดที่เป็นอยู่ได้
ถั่วชิกพีอุดมไปด้วยแมกนีเซียม และโพแทสเซียม ซึ่งถือเป็นแร่ธาตุสสำคัญในร่างกายต้องการ ช่วยให้การเต้นของหัวใจทำงานเป็นปกติ แถมยังมีไฟเบอร์ที่สามารถละลายน้ำได้ช่วยลดคอเลสเตอรอลรวมถึงไตรกรีเซอไรด์ที่ไม่ดีภายในร่างกาย นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันโรคเรื้อรังอย่างมะเร็ง เพราะถั่วชนิดนี้มีสารซาโปนินผสมอยู่นั่นเอง ส่วนแร่ธาตุและวิตามินบีบางชนิดที่มีในถั่วก็ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านม และมะเร็งปอด (แต่ด้านนี้ก็ยังคงต้องได้รับการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของถั่วลูกไก่อีกครั้ง)
3. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างดี
ปกติแล้วคนทั่วไปต้องบอกว่าจะมีระดับน้ำตาลในเลือดที่ 70 – 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และถ้ามีระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินไปก็จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานได้ รวมถึงเป็นบ่อเกิดโรคอื่น ๆ ตามมาด้วย แต่กระนั้นหากเลือกรับประทานถั่วชนิดนี้รับรองว่าช่วยได้เพราะถั่วลูกไก่ ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดไม่แพ้กันก็คือเรื่องของสารโปรตีน และไฟเบอร์ ที่พร้อมช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี รองรับโดยผลการวิจัยที่บอกว่ามีค่าดัชนีน้ำตาลเกณฑ์ต่ำมาก นั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าอาหารแต่ละชนิดมีผลต่อน้ำตาลในเลือดมากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้ยังมีงานวิจัยอื่นที่พบว่าผู้ที่รับประทานเข้าไปแล้วทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับการรับประทานข้าวสาลี หรือขนมปังขาว จึงเชื่อว่าถั่วชนิดนี้จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้
4. ช่วยควบคุมน้ำหนักและลดปัญหาโรคอ้วน
อย่างที่ทราบกันดีว่าถั่วชิกพีนั้นให้พลังงานที่สูง แต่แคลอรีต่ำมากเมื่อเทียบกับอาหารประเภทอื่น ๆ จึงมีส่วนสำคัญในการช่วยลดน้ำหนักให้กับทุกคน มีการศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพการทำงานด้านควบคุมน้ำหนัก พบว่าผู้ที่รับประทานเป็นประจำเสี่ยงต่อโรคอ้วนได้น้อยกว่าคนที่ไม่ได้ทานเข้าไปเลย นอกจากนี้ ยังมีค่าดัชนีมวลกายที่น้อยกว่าอีกต่างหาก จึงยิ่งสบายใจทุกครั้งเมื่อทานถั่วชนิดนี้จะช่วยควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานได้ พร้อมลดความเสี่ยงโรคอ้วน
อย่างไรก็ตาม แม้จะพบว่านี่คืออาหารที่อัดแน่นไปด้วยประโยชน์มากมาย แต่ก็ไม่ควรรับประทานปริมาณมากเกินไป เพราะจะก่อให้เกิดแก๊สภายในร่างกายที่สูงขึ้น แนะนำว่าให้รับประทานแต่พอดีเพื่อประโยชน์ที่ส่งเสริมร่างกายแต่พองาม ทั้งนี้ หากมีอาการผิดปกติหลังจากรับประทานถั่วชนิดนี้ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาต่อไป
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุก ๆ คนจะเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับถั่วลูกไก่มากขึ้น ซึ่งเห็นเลยว่ามีประโยชน์สูงมาก พร้อมช่วยร่างกายส่งเสริมให้แข็งแรงอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามควรเลือกรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมก็เพียงพอแล้ว อาหารทุกชนิดหากทานมากเกินไปจะทำลายสุขภาพ แต่ถ้าทานในระดับเพียงพอนั่นคือคุณค่าที่ร่างกายจะได้รับกลับไปมากที่สุดในทุกมื้ออาหารนั่นเอง